สรุปมติคณะรัฐมนตรี (13 กุมภาพันธ์ 2567) ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ 3 เรื่อง คือ 1) รับทราบผลการพิจารณาจัดตั้งสำนักบริหารการมัธยมศึกษา 2) การปรับบทบาทภารกิจ หน้าที่และอำนาจของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต และ 3) รับทราบสรุปผลการประชุมสมัยสามัญขององค์การยูเนสโก ครั้งที่ 42
รับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การปรับปรุงโครงสร้าง ศธ. เพื่อจัดตั้งสำนักบริหารการมัธยมศึกษา (สบม.) ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจัดตั้งสำนักบริหารการมัธยมศึกษา (สบม.) ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
ข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้าง ศธ. เพื่อขับเคลื่อนภารกิจการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษา เพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและการแข่งขันทางการศึกษากับนานาประเทศ รวมทั้งการบริหารและการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพยิ่งขึ้นทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการบริหารงานวิชาการ 2) ด้านการบริหารงานงบประมาณ 3) ด้านการบริหารงานบุคคล และ 4) ด้านการบริหารงานทั่วไป
โดยให้มีการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษา โดยไม่เพิ่มหน่วยงาน เป็นการบูรณาการรวมสำนักซึ่งมีภารกิจใกล้เคียงกันเข้าด้วยกัน และปรับปรุงหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเป็นการภายใน ได้แก่ สำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย (สมป.) เป็นหน่วยงานในโครงสร้างให้มีชื่อใหม่ว่า “สบม.” เพื่อเป็นหน่วยงานในการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะในการเร่งรัดการดำเนินการดังกล่าว
ทั้งนี้ การจัดตั้ง สบม. ต้องเชื่อมโยงระหว่าง สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา และโรงเรียนมัธยมศึกษา รวมทั้งมีความเชื่อมโยงกันทั้งระบบในหน่วยงานส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของ สบม.
- วัตถุประสงค์ เป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมและจัดทำข้อมูลสารสนเทศในทุกด้านของโรงเรียนมัธยมศึกษาและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา รวมทั้งหน่วยงานที่จัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นต้น
- หน้าที่และความรับผิดชอบ ส่งเสริม สนับสนุนงานนโยบายของรัฐบาลและ ศธ. สำหรับการพัฒนาโรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วประเทศให้ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
- การแบ่งส่วนราชการภายใน สบม. แบ่งเป็น 6 กลุ่ม ดังนี้ (1) กลุ่มบริหารทั่วไป (2) กลุ่มนโยบายและแผน (3) กลุ่มส่งเสริมทรัพยากรบุคคล (4) กลุ่มพัฒนาคุณภาพวิชาการและการจัดการศึกษา (5) กลุ่มส่งเสริมประสิทธิภาพการบริหารจัดการมัธยมศึกษา (6) กลุ่มวิจัยพัฒนาสื่อและดิจิทัลทางการศึกษา
รับทราบการปรับบทบาทภารกิจ หน้าที่และอำนาจของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวง ส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงหรือทบวง ในส่วนของหน้าที่และอำนาจของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ซึ่งมีสาระปรับปรุงหน้าที่และอำนาจของ ศปท. โดยแก้ไขเพิ่มเติมตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของ สปน. สำนักงานปลัดกระทรวง ส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีและส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงหรือทบวง รวม 35 ฉบับ ใน 6 ประเด็น ดังนี้
- กำหนดให้มีหน้าที่ในการเสนอแนะต่อหัวหน้าส่วนราชการเกี่ยวกับการป้องกันและปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของส่วนราชการในสังกัด ประเมินความเสี่ยงและกำหนดมาตรการบริหารความเสี่ยงเพื่อลดและปิดโอกาสการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ และการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมของส่วนราชการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องเสนอต่อหัวหน้าส่วนราชการ
- กำหนดให้มีหน้าที่เร่งรัดและกำกับการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ และการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมของส่วนราชการในสังกัด รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน
- กำหนดให้มีหน้าที่ในการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมและประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือน และรับข้อร้องเรียนเรื่องการทุจริต การปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และการฝ่าฝืนจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ส่วนราชการในสังกัด และส่งต่อไปยังส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประสานงาน เร่งรัด และติดตามจนได้ข้อยุติ
- กำหนดให้ติดตาม ประเมินผลสัมฤทธิ์ และจัดทำรายงานเกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ และการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมของส่วนราชการในสังกัด รัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชนเสนอต่อหัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- กำหนดให้มีการประสานความร่วมมือกับรัฐวิสาหกิจ หรือองค์การมหาชนที่อยู่ในกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเกี่ยวกับข้อมูลการจัดทำ และการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ และการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม รวมทั้งการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมและประมวลจริยธรรม ตลอดจนการประเมินผลสัมฤทธิ์ของหน่วยงานดังกล่าว เพื่อเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่อหัวหน้าส่วนราชการในการจัดทำรายงานต่อนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจหรือองค์การมหาชนดังกล่าวต่อไป
- กำหนดให้ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือที่หัวหน้าส่วนราชการมอบหมาย
รับทราบสรุปผลการประชุมสมัยสามัญขององค์การยูเนสโก ครั้งที่ 42
คณะรัฐมนตรีรับทราบสรุปผลการประชุมสมัยสามัญขององค์การยูเนสโก ครั้งที่ 42 (42nd Session of UNESCO General Conference: GC) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
ศธ. รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมสมัยสามัญขององค์การยูเนสโก ครั้งที่ 42 ระหว่างวันที่ 7-22 พฤศจิกายน 2566 ณ สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาแผนงาน งบประมาณ และกิจกรรม การดำเนินงานขององค์การยูเนสโก โดยผลการประชุม สรุปได้ ดังนี้
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวถ้อยแถลงสนับสนุนบทบาทองค์การยูเนสโกที่มุ่งบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติและนำเสนอแนวทางการดำเนินงานของไทยที่น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมากำหนดนโยบายการศึกษา “เรียนดี มีความสุข” เน้นผสมผสานการเรียนการสอนในห้องเรียนและแบบออนไลน์ มุ่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการเตรียมพร้อมสำหรับโลกอนาคต รวมทั้งกล่าวสนับสนุนข้อริเริ่มขององค์การยูเนสโกในการจัดทำหุ้นส่วนความร่วมมือด้านการศึกษาสีเขียว1 การใช้ประโยชน์จากเครือข่ายพื้นที่สงวนต่าง ๆ เป็นศูนย์ทดลองและศูนย์การเรียนด้านการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้เครือข่ายสถานศึกษาเพื่อความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศขององค์การยูเนสโก เพื่อเป็นช่องทางในการขับเคลื่อนการศึกษา
- ภาพรวมการประชุมคณะกรรมาธิการของยูเนสโก ที่ประชุมได้พิจารณาแผนงาน งบประมาณ และกิจกรรมการดำเนินงาน 5 สาขาหลักขององค์การยูเนสโก ได้แก่ ด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ สังคมและมนุษยศาสตร์ วัฒนธรรม และสื่อสารมวลชนและสารสนเทศ รวมทั้งการเงิน การบริหาร และการสนับสนุนโครงการและความสัมพันธ์ต่างประเทศ ทั้งนี้ ที่ประชุมพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานขององค์การยูเนสโกเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายใน ค.ศ. 2030 โดยเฉพาะการตอบสนองประเด็นท้าทายของโลกผ่านกลไกความร่วมมือแบบบูรณาการข้ามสาขา และการขับเคลื่อนนโยบาย แผนงานและโครงการสำคัญ เช่น สันติภาพและความเสมอภาคทางการศึกษา บทบาทนำและการมีส่วนร่วมของเยาวชน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการน้ำ เสรีภาพในการแสดงออกทางสื่อสังคม การปกป้องสิทธิมนุษยชน การสนับสนุนบทบาทเชิงรุกขององค์การยูเนสโกในการดำเนินงานตามแผนงานเร่งด่วน รวมทั้งการส่งเสริมความเข้มแข็งของเครือข่ายสถานศึกษาเพื่อความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศขององค์การยูเนสโก นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบให้เพิ่มบาฮาซาอินโดนีเซีย (ภาษาอินโดนีเซีย) ในรายการภาษาทางการของการประชุมสมัยสามัญขององค์การยูเนสโกและกำหนดให้จัดการประชุมสมัยสามัญขององค์การยูเนสโก ครั้งที่ 43 ณ เมือง Samarkand (ซามาร์กันต์) สาธารณรัฐ อุซเบกิสถาน
- กิจกรรมอื่น ๆ
3.1 ไทยได้รับเลือกให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในคณะกรรมการสภาระหว่างรัฐบาล2 ว่าด้วยโครงการสารนิเทศเพื่อปวงชน คณะกรรมการสภาระหว่างรัฐบาลว่าด้วยโครงการระหว่างชาติเพื่อพัฒนาการสื่อสาร และคณะกรรมการสภาระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการจัดการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยมีวาระ 4 ปี ระหว่างปี 2566-2570 ซึ่งจะสิ้นสุดการเป็นสมาชิกเมื่อถึงการประชุมสมัยสามัญขององค์การยูเนสโก ครั้งที่ 44
3.2 การพบปะหารือกับภาคส่วนต่าง ๆ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เช่น (1) หารือกับหัวหน้าคณะผู้แทนสาธารณรัฐสิงคโปร์ เนการาบรูไนดารุสซาลาม สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นกลุ่ม 5 ประเทศ (รวมประเทศไทย) ที่ร่วมเสนอชุดเสื้อ “เคบายา” ขึ้นทะเบียนรายการมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (2) หารือและรับฟังการนำเสนอการจัดการเรียนการสอนของสถาบันอาชีวศึกษาด้านการบิน ในประเด็นการฝึกงานและการจบหลักสูตรแล้วมีงานทำ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ ศธ. “มีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทํา (Learn to Earn)” และสามารถนำมาเป็นต้นแบบให้กับสถาบันการศึกษาในไทยได้ (3) หารือกับผู้บริหารบริษัทเอกชนเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการศึกษา โดยเฉพาะในส่วนของการนำปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: Al) ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนผ่านระบบออนไลน์ได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้นำเสนอนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” เรียนได้ ทุกที่ทุกเวลา เรียนฟรี มีงานทำ ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งอาจเป็นแนวคิดที่เป็นจุดร่วมที่สามารถส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันได้ในอนาคต - ประโยชน์และผลกระทบ เช่น
4.1 ไทยตระหนักถึงประเด็นท้าทายของโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และพร้อมสนับสนุนข้อริเริ่มขององค์การยูเนสโกด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เน้นการสร้างหุ้นส่วนความร่วมมือด้านการศึกษาสีเขียว ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสถานศึกษาเพื่อความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศขององค์การยูเนสโก รวมถึงการมีส่วนร่วมของเยาวชนเพื่อเป็นช่องทางในการขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม
4.2 ไทยได้รับเลือกให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสภาระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยโครงการสารนิเทศเพื่อปวงชน สภาระหว่างรัฐบาลว่าด้วยโครงการระหว่างชาติเพื่อพัฒนาการสื่อสาร และสภาระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการจัดการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการพัฒนาสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในด้านการส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลและความรู้อย่างเท่าเทียม รวมทั้งการรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสารและสื่อบนพื้นฐานของจริยธรรมและความปลอดภัย ทั้งนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนซึ่งรวมถึงภาคประชาสังคม ชุมชน และสื่อต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างความรู้และการปฏิบัติ
_________________
1การศึกษาสีเขียว คือ แนวคิดและกระบวนการจัดการเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม สร้างความรู้ความเข้าใจความหลากหลายทางชีวภาพ พัฒนาทักษะการสำรวจธรรมชาติ และความรับผิดชอบต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมในกลุ่มเด็กและเยาวชน ผ่านระบบการศึกษา
2 จากการประสานข้อมูลเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 ศธ. แจ้งว่า คณะกรรมการสภาระหว่างรัฐบาล คือ คณะกรรมการภายใต้องค์กรยูเนสโก มีหน้าที่พิจารณาวางแผนแนวทางการดำเนินงานและนโยบายในด้านต่าง ๆ โดยมีสมาชิกมาจากผู้แทนของแต่ละประเทศ
บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน