‘ปลัด ศธ.’ เผยศาลฯ สั่งจำคุก 93 ปี 279 เดือน ตัวการโกงเงิน ‘กองทุนเสมาพัฒนาชีวิต’

นายอรรถพล สังขวาสี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้รับแจ้งจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ว่าขณะนี้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษากรณีข้าราชการระดับ 8 ตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานปลัด ศธ. ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต อาศัยโอกาสที่มีหน้าที่ขออนุมัติเบิกจ่ายเงินของกองทุนฯ ให้กับนักเรียนนักศึกษาที่เป็นผู้ยากไร้ ขาดแคลนทุนทรัพย์ศึกษา จัดทำเอกสารขออนุมัติ และระบุรายละเอียดหมายเลขบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นเท็จ โดยมีน้องชาย จำเลยที่ 2 และอดีตลูกจ้าง ศธ. จำเลยที่ 3  เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ทำให้สำนักงานปลัด ศธ. หลงเชื่อ เบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา รวมทั้งบุคคลอื่น ๆ ซึ่งเป็นญาติและคนรู้จักของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนฯ มากกว่า 30 คน รวมจำนวน 35 ครั้ง เป็นเหตุให้นักเรียน นักศึกษาได้รับความเดือดร้อน และ ศธ.ได้รับความเสียหายเกือบ 100 ล้านบาท เหตุเกิดระหว่างเดือนพฤษภาคม 2548 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2560

ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้สอบสวนข้อเท็จจริงและพิจารณาชี้มูลความผิดทางอาญากับผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าว และส่งสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง เพื่อให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีอาญา ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษา สรุปว่า

  • จำเลยที่ 1 กระทำความผิดจำนวน 35 กรรม เป็นความผิด ตามมาตรา 157 มาตรา 162(4) ของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา123 / พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 รวมทุกกระทงความผิด ให้ลงโทษจำคุก 93 ปี 279 เดือน
  • จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานผู้สนับสนุน ให้ลงโทษจำคุก 34 ปี 102 เดือน
  • จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานผู้สนับสนุน ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี 18 เดือน

ศาลไม่รอการลงโทษ  และให้จำเลยทั้งสามคน ร่วมกันชดใช้เงินให้กับผู้เสียหาย ที่ยังไม่ได้ชดใช้คืนจำนวน 64 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย โดยในวันอ่านคำพิพากษา จำเลยทั้ง 3 รายได้เข้าฟังคำพิพากษาด้วย และถูกจำคุกตามคำสั่งศาลทันที

ในส่วนของ ศธ. จากนี้รอคัดคำสั่งศาล เพื่อดำเนินการกับจำเลยทั้ง 3 คน และเตรียมใช้มาตรการทางปกครอง ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เพื่อดำเนินการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าหน้าที่และผู้ทุจริตโดยตรง

ทั้งนี้ การทุจริตดังกล่าว จำเลยที่ 1 ให้การสารภาพว่าดำเนินการแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวข้องกับผู้บังคับบัญชา แต่จะเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่การเงิน ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนฯ ในขณะนั้น  โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการลงโทษทางวินัยผู้ที่เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาออกมา ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องถูกดำเนินการทางการปกครอง เพื่อร่วมชดใช้ความเสียหายต่อไป อย่างไรก็ตาม จากนี้ ศธ. จะต้องเสนอเรื่องทั้งหมดให้กระทรวงการคลังตรวจสอบ เพื่อดูรายละเอียดว่า แต่ละคนจะต้องชดใช้ค่าเสียหายรายละเท่าไร” ปลัดศธ. กล่าว

นายอรรถพล กล่าวอีกว่า ปัจจุบันได้มีการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการกองทุนฯ โดยให้กองบริหารการคลัง สำนักงานปลัด ศธ. ดูแล บริหารจัดการเงินกองทุนเสมาฯ  และส่งเงินถึงเด็กที่ได้รับทุนโดยตรง และปัจจุบันมีเงินหมุนเวียนกว่า 500 ล้านบาท ใช้ดอกผล ปีละ 8-12 ล้านบาท ในการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียน จำนวน 200 ราย

สำหรับกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต เริ่มต้นในปี 2537 ใช้งบประเดิมจากสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 600 ล้านบาท ต่อมามีการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลและเงินบริจาคสบทบเข้ามาหมุนเวียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส และเด็กที่อยู่ในภาวะยากลำบาก เช่น  กำพร้า ยากจน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงเพื่อไม่ให้เข้าสู่ตลาดแรงงานก่อนวัยอันควร หรือถูกล่อลวงให้ไปค้าประเวณีหรือเด็กตกเขียว สนับสนุนการศึกษาให้เด็กที่จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และ ม.ปลาย หรือเทียบเท่าที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้มีโอกาสได้เรียนต่อ  เริ่มต้นที่ภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด และขยายให้ทุนกับสถาบันการศึกษาที่สอนด้านพยาบาล โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ กลุ่มโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ และกลุ่มวิทยาลัยพยาบาล

ทั้งนี้ การทุจริตเงินกองทุนฯ ครั้งนี้ถูกตรวจสอบพบในปี 2561 โดยข้าราชการชั้นผู้น้อย จากกลุ่มตรวจสอบภายใน สำนักปลัด ศธ. ซึ่งทำการตรวจสอบบัญชีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ตามปกติ แต่ไปพบพิรุธ จากเอกสารการจัดทำบัญชีกองทุนฯและรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ 2560 พบว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบกองทุนฯ คือ สำนักส่งเสริมกิจการการศึกษา สำนักงานปลัด ศธ. ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ศธ. ว่าด้วยกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต พ.ศ. 2550 คือ ระบบกำหนดให้ผู้รับทุนฯ เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคาร โดยใช้คำว่า “กองทุนเสมาพัฒนาชีวิตของ…(ชื่อผู้รับทุน)” แต่พบว่ามีการเปิดบัญชีในนามสถานศึกษา มีการอนุมัติจ่ายเงินให้วิทยาลัยบรมราชชนนีต่าง ๆ แต่ใช้หมายเลขบัญชีเดียวกัน และหลักฐานการเบิกจ่ายเงินของทุนการศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตร์แห่งหนึ่ง ที่ชื่อเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคาร ไม่ตรงกับชื่อผู้รับทุน นำมาสู่การตรวจสอบย้อนหลัง ทำให้พบว่ามีการยักยอกเงินทุนการศึกษาเด็กเกิดขึ้นมากว่า 10 ปี

เว็บไซต์ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แนวหน้า https://www.naewna.com/local/748495
สยามรัฐ https://siamrath.co.th/n/468011
มติชน https://www.matichon.co.th/education/news_4117056