เสมา 1 “นฤมล” ร่วมเวที CONNEXT ED EDUCATION FORUM 2025 ผนึกพลัง 3 ภาคส่วน สานอนาคตเด็กไทย สร้างอนาคตประเทศไทย

19 พฤศจิกายน 2568 / ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมงานการประชุม CONNEXT ED EDUCATION FORUM 2025 ภายใต้แนวคิด “Thailand’s Education Future : อนาคตการศึกษาไทย อนาคตประเทศไทย” พร้อมด้วยนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานกรรมการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี ผู้ทรงคุณวุฒิจาก 3 ภาคส่วน (ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม) ตลอดจนผู้บริหารระดับสูงกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีพลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรี และในฐานะประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ เป็นประธานฯ ณ ห้องประชุมแกรนด์ฮอลล์ ชั้น 3 อาคารทรู ดิจิทัล พาร์ค

พลเอก ดาว์พงษ์ กล่าวว่า ระบบการศึกษาไทยยังมีอีกหลายประเด็นที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันผลักดัน โดยโครงการคอนเน็กซ์อีดี เป็นโมเดลด้านการศึกษาที่มีความเข้มแข็งและเหนียวแน่นที่สุดโมเดลหนึ่ง ทั้งยังได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการที่เปิดกว้างและพร้อมร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนการศึกษาไทยให้พัฒนาอย่างยั่งยืน

ดั่งพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานไว้ 4 ประการ คือ การศึกษาคือความมั่นคงของประเทศ โดยการศึกษาต้องทำให้คนไทยมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรม มีงานทำ มีอาชีพ และเป็นพลเมืองดี ซึ่งครอบคลุมวงจรชีวิตของประชาชนอย่างครบถ้วน จึงได้น้อมนำพระบรมราโชบายดังกล่าวมาขับเคลื่อนภายใต้ยุทธศาสตร์ขององค์กร เพื่อสร้างเด็กไทยให้เป็นทั้ง “คนดี” และ “คนเก่ง”

“ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เพื่อให้โรงเรียนที่เราร่วมกันพัฒนามาอย่างต่อเนื่องก้าวหน้าอย่างมั่นคง เพราะการสร้างคนต้องใช้เวลา แต่มั่นใจว่าความตั้งใจและความร่วมมือของทุกฝ่ายจะนำไปสู่ผลสำเร็จตามที่เราตั้งใจไว้ และที่ผ่านมา 9 ปี ก็เห็นความก้าวหน้าและความสำเร็จที่น่าพอใจ มีผู้ร่วมอุดมการณ์เพิ่มขึ้นในทุกปี”

ศาสตราจารย์นฤมล กล่าวด้วยว่า ขอขอบคุณเครือข่ายความร่วมมือของกระทรวงศึกษาธิการที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการศึกษาไทยในวันนี้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นและเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมล้วนเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ซึ่งแนวทางการดำเนินงานลำดับแรกที่กระทรวงศึกษาธิการได้ผลักดัน คือ การเพิ่มการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองในหลักสูตร เพื่อให้นักเรียนทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของรากเหง้าและการรู้เท่าทันสังคม แม้หลายฝ่ายจะมองว่ายุคนี้เป็นยุคของ AI แต่ความจริงแล้วการเรียนประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ไทยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ดังนั้น การเรียนรู้ประวัติศาสตร์จึงเปรียบเสมือนรากฐานสำคัญในการพัฒนาการเรียนรู้ของทุกคน

ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ ก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษา โดยย้ำขอให้ร่วมกันสร้างอนาคตของลูกหลานไทย ซึ่งความร่วมมือกับเครือข่ายต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในเครือข่ายที่มีความเข้มแข็ง คือ เครือข่าย คอนเน็กซ์อีดี ที่ทำหน้าที่เป็นเวทีเชื่อมโยงภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ ในการร่วมกันกำหนดทิศทางนโยบายด้านการศึกษาของประเทศ

ปัจจุบันมีโรงเรียนในสังกัด สพฐ. กว่า 29,000 แห่ง โดยเป็นโรงเรียนขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมากกว่า 2 หมื่นแห่ง ซึ่งโรงเรียนขนาดเล็กหมายถึงโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า 120 คน เป้าหมายของกระทรวงศึกษาธิการคือการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา แม้ว่าระบบการจัดสรรงบประมาณจะทำให้โรงเรียนขนาดเล็กได้รับงบประมาณน้อยกว่าโรงเรียนใหญ่ ส่งผลให้งบประมาณที่ใช้พัฒนาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำมีจำกัด จึงจำเป็นต้องเร่งผลักดันระบบบริหารจัดการงบประมาณให้สามารถสนับสนุนโรงเรียนขนาดเล็กได้มากขึ้น โดยผู้บริหารการศึกษาในทั้ง 245 เขตพื้นที่ ต้องลงไปดูสภาพจริงในพื้นที่ เพื่อพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กให้มีศักยภาพมากขึ้น

ในด้านเทคโนโลยี ช่วงที่ผ่านมาได้เดินทางไปพบผู้บริหารระดับสูงของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยประธานาธิบดีจีนประกาศใช้ยุทธศาสตร์ “ภาษาจีน” เป็นเครื่องมือในการขยายความเจริญและสร้างความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งได้รับการส่งครูภาษาจีนมาปฏิบัติหน้าที่เป็นอันดับ 1 ของโลก และประเทศไทยมีจำนวนครูภาษาจีนมากเป็นอันดับ 2 รองจากจีน กระทรวงศึกษาธิการยังได้ผลักดันให้ครูไทยเดินทางไปสอนที่ประเทศจีน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนครูระหว่างสองประเทศ

อีกประเด็นสำคัญ คือ การศึกษาพิเศษ เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพและการยกระดับการจัดการศึกษา แม้ยังพบความเหลื่อมล้ำในกลุ่มเด็กพิเศษทั่วประเทศ ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีศูนย์การศึกษาพิเศษรองรับ แต่เป้าหมายสำคัญคือการเพิ่มศักยภาพให้น้อง ๆ เด็กพิเศษสามารถเรียนร่วมในโรงเรียนปกติได้ เพราะจะช่วยให้พัฒนาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และเป็นการเรียนรู้แบบคู่ขนานที่มีประสิทธิภาพ

สำหรับการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ศธ. ได้เร่งดำเนินการลดภาระงานครู และดูแลด้านสวัสดิการ โดยเฉพาะสภาพบ้านพักครูที่ชำรุดทรุดโทรมจำนวนมาก จึงได้ร่วมมือกับการเคหะแห่งชาติในการฟื้นฟู สร้าง และพัฒนาบ้านพักครู พร้อมหาแหล่งเงินทุนจากภาคเอกชนและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการดูแลสวัสดิการบ้านพักครู

“ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา และในปีต่อ ๆ ไป กระทรวงศึกษาธิการมุ่งมั่นทำงานร่วมกับมูลนิธิคอนเน็กซ์อีดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างอนาคตการศึกษาที่มั่นคงให้กับเด็กไทย โดยพร้อมสนับสนุนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบดูแลนักเรียน เพื่อขยายผลสู่โรงเรียนในทุกสังกัดของ ศธ. การอบรมพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา เพื่อยกระดับการศึกษาไทยอย่างยั่งยืน”

นายศุภชัย กล่าวอีกด้วยว่า ขอต้อนรับและขอบคุณทุกภาคส่วนที่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Connected Education Forum 2025 Thailand Education Future อนาคตการศึกษาไทยอนาคตประเทศไทยกันในวันนี้ “เพื่อยืนยันความมุ่งมั่นของพวกเราทุกคนที่จะขับเคลื่อนการศึกษาไทยเพราะการศึกษาคือรากฐานของการพัฒนาประเทศและคือพลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพเยาวชนให้ได้รับโอกาสการเรียนรู้ที่เท่าเทียม ทั่วถึง และมีคุณภาพอย่างแท้จริง”

ในขณะนี้ โลกกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านดิจิทัลและ AI รวมถึงความตึงเครียดทางการเมือง และประเทศไทยไม่อาจแยกตัวออกจากบริบทดังกล่าวได้ และยังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืน ทั้งการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ปัญหามลพิษ ระบบการผลิตและการบริโภคที่ไม่ยั่งยืน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ “ศักยภาพของมนุษย์” โดยเฉพาะความสามารถในการปรับตัวและการเรียนรู้ คือสิ่งสำคัญที่สุด ขอขอบคุณกระทรวงศึกษาธิการและบุคลากรทางการศึกษาทุกคน ที่เปิดกว้างและพร้อมเรียนรู้ร่วมกับทุกภาคส่วน ทำให้เกิดโอกาสในการสรรหาแนวทางใหม่ ๆ มาพัฒนาระบบการศึกษาไทยให้ก้าวหน้า

ทั้งนี้ มูลนิธิคอนเน็กซ์อีดี ได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5 ข้อร่วมกับทั้ง 3 ภาคส่วน ได้แก่

  1. Standard & Transparency: การเปิดเผยข้อมูลสถานศึกษาที่ได้มาตรฐานอย่างโปร่งใสสู่สาธารณะ
  2. Market Mechanism: กลไกตลาดและวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม
  3. High Quality Principals & Teachers: การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน
  4. Child Centric & Curriculum: เด็กเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นใจ
  5. Digital & AI Infrastructure: การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ของสถานศึกษา

เพื่อดำเนินแนวทางในการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดด้านการศึกษาที่ชัดเจนเพื่อสะท้อนความสำเร็จที่แท้จริงของการเรียนรู้ การใช้กลไกตลาดและการเชื่อมโยงภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่ชุมชน ผู้ปกครอง ภาคเอกชนระดับท้องถิ่นและระดับอุตสาหกรรม ตลอดจนสื่อมวลชน ซึ่งถือเป็น “ห้องเรียนที่ใหญ่ที่สุด” ในการสนับสนุนการพัฒนาเด็กและโรงเรียน การพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา

โดยเฉพาะผู้บริหารและครู วัฒนธรรมขององค์กรมีความสำคัญกว่ายุทธศาสตร์ เพราะ “วัฒนธรรมเป็นตัวขับเคลื่อนยุทธศาสตร์” ครูและผู้บริหารจึงต้องสร้างวัฒนธรรมแห่งเมตตา การสนับสนุนซึ่งกันและกัน และการมองนักเรียนเสมือนลูกหลานของตนเองในยุคใหม่ “โรงเรียนคือห้องทดลองการเรียนรู้” ควรส่งเสริมให้นักเรียนตั้งคำถาม ค้นคว้า ลงมือทำ และอภิปรายด้วยเหตุผล และสามารถเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้ร่วมกับภาคเอกชน ศูนย์วิจัย พิพิธภัณฑ์ หรือสถานประกอบการ คล้ายรูปแบบ “อินเทิร์นชิพ” (ฝึกงานฝึกประสบการณ์ระยะสั้น)

ในระดับนักเรียนเมื่อการเปิดกว้างด้านความร่วมมือเพิ่มขึ้น เครือข่ายศูนย์การเรียนรู้จะสามารถขยายไปทั่วประเทศ รองรับความสนใจที่หลากหลายของเด็กยุคใหม่ได้ดียิ่งขึ้นและการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรมและธรรมาภิบาล เมื่อ AI พัฒนาอย่างรวดเร็ว สามารถช่วยครูสอนได้ จึงต้องมีกรอบจริยธรรมและธรรมาภิบาลที่เหมาะสม ทั้งในระดับภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้ AI เป็นเครื่องมือที่มีคุณธรรมและใช้เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาที่แท้จริง

“แม้เส้นทางการพัฒนาการศึกษายังอีกยาวไกล แต่หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันและใช้ยุทธศาสตร์อย่างจริงจัง ก็จะสามารถสร้างระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและยั่งยืนได้ พร้อมหล่อหลอมเยาวชนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม มีทักษะวิจัย เรียนรู้ตลอดชีวิต และมีความสุขในการดำเนินชีวิต”

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว-กราฟิก
ศุภณัฐ วัฒนมงคลลาภ / ภาพ

ภาพเพิ่มเติม https://www.facebook.com/share/p/1CwVvLWShw/